ฉันได้อยู่ในสถาบันนี้มาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ในฐานะ "วัตถุ" อย่างที่พวกเขาเรียกฉันกับคนอื่นๆ ถึงบางอย่างจะไม่ใช่คนก็เถอะ…แล้วก็เรียกฉันด้วยตัวเลขที่พวกเขาตั้งขึ้นมา เลขของฉันมันอะไรนะ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็น 207 อยู่ในนี้ปลอดภัยก็จริง ไม่ต้องกังวลเรื่องพลังของตัวเองเพราะที่นี่ก็มีของแปลกๆเยอะ แต่ว่าวันๆไม่ได้ทำอะไรเลยนี่สิ อย่างมากก็ได้แค่ไปเดินเล่น น่าเบื่อจะตาย
"นอนคิดอะไรอยู่บนเตียงล่ะไอ้หนู" ลำโพงในห้องของฉันพ่นเสียงของคุณดอกเตอร์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพง
"ยุ่งน่า!" ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนที่จะกลับไปนอนคิดอะไรบนเตียงคนเดียวเหมือนเดิม
ถึงตอนแรกจะตื่นเต้นหน่อยๆที่มาได้อยู่ที่นี่ก็เถอะแต่ไม่มีอะไรทำทั้งวันแบบนี้ใครจะไปทนไหว ฉันจึงลองคิดย้อนกลับไปว่าเจออะไรบ้างเพื่อฆ่าเวลาอันแสนน่าเบื่อในทุกๆวัน ในตอนที่ฉันคิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยก็นึกออกอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าเคยอ่านนิทานเรื่อง "นิทานของดอกบัวแดง" เมื่อนานมาแล้วหลายปีก่อนที่ฉันจะได้มาอยู่ในสถาบันนี้ ฉันพยายามไล่นึกเรื่องราวในวันนั้นไปทีละฉาก เรื่องมันเกิดขึ้นตอนแรกด้วย…
เรื่องวันนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในแถบชานเมืองแต่ฉันจำไม่ได้ว่าที่ไหน จำได้ว่าวันนั้น อากาศเย็นเฉียบ ท้องฟ้ามืดครึ้ม และฝนก็มีทีท่าว่าจะตกได้ทุกเมื่อ ฉันได้แต่เดินร่อนเร่ทั่วเมืองอย่างไร้จุดหมายจนมาพบกับห้องสมุดเล็กๆแห่งหนึ่งตรงย่านตึกเก่าสักแห่งในเมือง สภาพค่อนข้างเก่าแต่คงเพราะได้รับการดูแลทำความสะอาดจึงดูไม่เก่ามากนัก ในห้องสมุดนั้นมีคุณยายบรรณารักษ์อยู่หนึ่งคน และคนอีก 2 ถึง 3 คนในนั้นแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจคนกลุ่มนั้นมากนัก และฝนมีทีท่าว่าจะตกหนักฉันจึงถือโอกาสเข้าไปหลบฝนด้วย
ด้วยความที่ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กฉันจึงตรงดิ่งเข้าไปหาหนังสือหมวดนิทานที่เป็นชั้นวางเล็กๆอยู่เกือบด้านในสุด ก็มีแต่นิทานสำหรับเด็กธรรมดาๆ หรือไม่ก็นิยายสำหรับเด็ก แต่มีนิทานอยู่เล่มหนึ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินหรือเคยเห็นมาก่อน ปกเขียนว่า "นิทานดอกบัวแดง" แต่แปลกที่ว่านอกจากปกที่เป็นภาพวาดสีน้ำของดอกบัวแดงกับชื่อเรื่องก็ไม่มีอะไรบอกเลย แม้แต่ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ หรือกระทั่งสถานที่ตีพิมพ์ ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ที่เอานิทานเรื่องนั้นมาอ่านระหว่างรอฝนหยุดตก เนื้อหาและภาพประกอบภายในฉันมั่นใจว่าต้องมาจากการตีพิมพ์แน่นอน ไม่ใช่มือเขียน ภาพประกอบก็ค่อนข้างสดใสและดูง่ายตามประสานิทานเด็ก แต่เนื้อหาฉันไม่ค่อยมั่นใจนักว่ามันสดใสหรือไม่
"ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งกลางหุบเขา มีบึงที่เต็มไปด้วยดอกบัวขาวกระจายอยู่ไปทั่ว โดยชาวบ้านจะเก็บดอกบัวมาขายอยู่ประจำ ทำให้หมู่บ้านนี้อยู่ได้โดยการขายดอกบัวให้หมู่บ้านต่างๆ แต่ก็มีเรื่องเล่าของชาวบ้านว่า บนยอดเขาที่สูงที่สุดของหมู่บ้านมีบึงน้ำที่มี ดอกบัวสีแดงขึ้นอยู่ซึ่งเป็นสิ่งประทานจากสวรรค์ และชาวบ้านเชื่อกันว่าหากได้ครอบครองดอกบัวแดงนั้นจะมีอายุยืน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นรางวัลตอบแทนที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีนักเดินทางมากมายที่พยายามปีนขึ้นไปบนยอดเขาลูกนั้นแต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จสักราย
วันหนึ่งมีนักเดินทางหนุ่มรายหนึ่งได้มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้พร้อมความมุ่งมั่นอุตสาหะหมายว่าจะขึ้นไปถึงยอดเขาลูกนี้และนำดอกบัวแดงกลับลงมาให้ได้ เขาได้เริ่มออกเดินทางไปเรื่อยๆตามเส้นทางบนภูเขา ระหว่างทางมีทั้งป่าหนาทึบ ฝนตกหนัก ทางเดินลาดชัน แต่ก็ไม่ได้ลดความพยายามของเขาแต่อย่างใด เวลาผ่านไปเกือบ 3 วันเต็ม ใกล้ถึงยอดเขาเต็มที บนนั้นมีบึงบัวขาวอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆ ในที่สุดเขาก็ปีนมาถึงยอดเขา การเดินทางของเขาก็สิ้นสุดลง แต่ว่า…บนยอดนั้นไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ดอกบัวสักดอก หรือบึงน้ำสักแห่ง ความพยายามของเขานั้นสูญเปล่า ด้วยความคิดที่ปั่นป่วนและไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เขาจึงพลัดตกลงมามีแผลจำนวนมากจนเขาแทบทนไม่ไหว และร่างที่ใกล้สิ้นลมของเขาก็ตกลงมาในบึงบัวขาวที่เขาเดินผ่านมาแล้ว
ทั้งบึงเต็มไปด้วยเลือด ดอกบัวขาวทั้งหมดถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน
เขาตระหนักได้ว่านี่แหละคือบัวแดงที่เขาตามหา ก่อนที่ร่างนั้นจะหลับตาลงสู่ความมืดมิดไปตลอดกาล"
เมื่อฉันคิดได้ถึงตรงนี้แล้ว ฉันก็เศร้าอยู่เล็กน้อยที่ว่าฉากจบไม่ค่อยจะดีเท่าไร และตั้งคำถามกับตัวเองว่าตอนนั้นอ่านลงไปได้อย่างไร คงเพราะความเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา แต่ก็…ช่างมันเถอะ เริ่มง่วงแล้วสิ งีบสักหน่อยดีกว่า…
"แหมๆ หลับสบายเชียวนะไอ้หนู ก่อนจะหลับก็หัดห่มผ้าก่อนสิ" ดอกเตอร์ผู้ดูแล 207 พูดคนเดียวผ่านลำโพงก่อนที่จะข้ามห้องมาห่มผ้าให้ 207 แล้วจึงกลับไปห้องสังเกตการณ์ดังเดิม